Posted on Leave a comment

“โยคะแก้ปวดเข่า” ท่าที่ทำง่ายๆ และได้ผลดีสุดๆ

โยคะแก้ปวดเข่า

โยคะมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน แถมยังช่วยให้ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์มขึ้น แต่นอกจากนี้ รู้ไหมว่าการเล่นโยคะยังช่วยให้ร่างกายยืดหยุ่น ลดอาการออฟฟิศซินโดรม และช่วยลดอาการปวดต่างๆ อีกด้วย โดยวันนี้เราจะมาเน้นที่ “โยคะแก้ปวดเข่า” รู้แบบนี้แล้วประโยชน์ทั้งนั้น

หากคุณมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว เช่น นั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน คุณก็มีโอกาสที่จะเกิดอาการปวดหลังส่วนล่างได้ในบางช่วงของชีวิต พูดกันตามสถิติแล้ว อาการปวดหลังส่วนล่างเป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วไป และทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โชคดีที่โยคะสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ และนี่คือ ท่าโยคะแก้ปวดเข่า แบบง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้

ท่ายืนก้มตัว

ท่ายืนก้มตัว เป็นอีกหนึ่งท่าที่มีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อแฮมสตริง เริ่มท่านี้ด้วยการทำท่าสุนัขก้ม และใช้มือดันตัวถอยหลังไปสู่ท่ายืน โดยให้เท้าห่างเท่ากับระยะสะโพก ย่อเข่าเล็กน้อยและพับลำตัวลงมาข้างหน้า ให้หน้าท้องแนบกับขา ถ้าสามารถทำได้ ปล่อยแขนลงหรือกอดอกไว้ ทำท่านี้ค้างไว้ 15 ลมหายใจ และเปลี่ยนท่า

ท่าบิดเอว

ท่าบิดเอว ช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง เริ่มด้วยท่านอนราบ แล้วดึงเข่าทั้งสองข้างเข้าหาหน้าอก กอดเข่าไว้ แลวบิดหัวเข่าทั้งสองข้างไปทางด้านขวา ให้ขาขวาติดพื้นในขณะที่ขาซ้ายวางอยู่บนขาขวา ให้ไหล่แนบชิดติดพื้น และเหยียดแขนกางออก หันหน้าไปทางซ้าย ทำท่าค้างไว้ 5 ลมหายใจ และเปลี่ยนข้าง หากคุณต้องการ คุณสามารถจบการฝึกด้วยท่าศพ หรือท่าเด็ก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกระดูกสันหลัง

ท่ายืนแยกขายืดลำตัว      

พราะนอกจากจะช่วยยืดหยุ่นกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง และกล้ามเนื้อหลัง ช่วยลดอาการปวดหลัง ปวดเข่าแล้ว ยังช่วยทำให้จิตใจสงบ และเลือดไหลเวียนได้สะดวก ส่งผลทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งหากทำเป็นประจำ ยืนแยกขาออกจากกันประมาณ 1 เมตร ยกมือขึ้นเท้าเอวและแอ่นตัวไปด้านหลัง ก้มตัวลงต่ำ ให้ลำตัวส่วนบนขนานกับพื้นแล้ววางมือบนพื้นระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง โดยที่เข่าต้องตึงเสมอ เงยหน้าขึ้นมองเพดาน จากนั้นค่อยๆ กางขาออกเพิ่มขึ้นและงอศอก วางศีรษะลงบนพื้นระหว่างเท้าทั้ง 2 ข้าง ทิ้งน้ำหนักลงที่เท้า ให้มือ เท้า และศีรษะอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน

ท่านกพิราบ

หากอาการเจ็บหลังเกิดจากการตึงบริเวณสะโพก ท่านกพิราบ เป็นท่าที่สามารถช่วยได้ดี เนื่องจากเป็นท่าที่เน้นกล้ามเนื้อสะโพก ทั้งกล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์ กล้ามเนื้ออิลิออปโซแอส และข้อต่อสะโพก ในการทำท่านี้ เริ่มต้นด้วยการทำท่าสุนัขก้ม จากนั้น ก้าวเท้าขวาเข้ามาหามือขวา โดยที่ขาซ้ายยังอยู่ในท่าเดิม แล้วกดตัวลงพร้อมกับพับขาขวาลงแนบกับพื้น ให้เข่าขวาชี้เข้าหาข้อมือขวา ดูให้ลำตัวเป็นเส้นตรง เข่าไม่ล้ำออกไปนอกแนวสะโพก วางมือทั้งสองข้างกับพื้นเพื่อช่วยรับน้ำหนัก หากคุณต้องการยืดเหยียดมากขึ้น ให้ยืดแขนไปด้านหน้าและก้มตัวไปติดพื้น ทำท่านี้ค้างไว้ 15 ลมหายใจ และกลับสู่ท่าสุนัขก้มเพื่อเปลี่ยนข้าง

ท่ากอดเข่า

โยคะท่ากอดเข่า

ท่านี้ช่วยในคลายเส้นเข่า และหลัง เป็นวิธีทำก็ง่ายๆ นอนและงอเข่าเสมอหน้าอกและกอดไว้ ทำง่ายและได้ผลดีมากทีเดียว

ท่านั่งก้มตัว

ท่านี้ช่วยลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ช่วยยืดกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และกล้ามเนื้อต้นขาไปในคราวเดียวกันนั่งหลังตรง กางขาเป็นวงแหวน ให้ฝ่าเท้าหันเข้าหากันก้มตัวไปด้านหน้า ให้ศีรษะก้มลงติดพื้นมากที่สุด แขนเหยียดตรงไปด้านหน้าค้างท่าไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

ท่าแมวและวัว

ท่าแมวและวัว เป็นท่าโยคะพื้นฐาน ที่เหมาะกับผู้ที่มีเวลาไม่มาก ท่านี้ช่วยยืดกระดูกสันหลังทั้งสองด้าน และเตรียมคุณในการทำท่าต่อไป วิธีการคือ เริ่มในท่าคลานสี่ขา ให้หลังตรงขนานกับพื้น ไหล่อยู่ตรงกับข้อมือ สะโพกตรงกับเข่า และกางนิ้วมือทุกนิ้วออก หายใจเข้า และเงยหน้าขึ้นและแอ่นตัวให้หน้าท้องชี้ลงไปหาพื้น ท่านี้เรียกว่าท่าวัว จากนั้น หายใจออก และดึงหน้าท้องขึ้น โก่งกระดูกสันหลังให้ชี้ขึ้นไปที่เพดาน และเก็บคางชิดอก ท่านี้เรียกว่า ท่าแมว พยายามควบคุมลมหายใจให้สอดคล้องกัน ในขณะเปลี่ยนท่าจากท่าวัวไปสู่ท่าแมว หายใจเข้ามากขึ้นในขณะทำท่าวัว เพื่อยืดหลังส่วนล่าง หายใจเข้าลึก 5 ถึง 10 ครั้ง จากนั้นจึงเปลี่ยนท่า

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“ปวดเข่าในผู้สูงอายุ” เป็นเรื่องใกล้ตัวและควรใส่ใจ

ปวดเข่าในผู้สูงอายุ

ภาวะข้อเสื่อม เป็นภาวะที่ข้อต่อของร่างกายที่เป็นกระดูกอ่อนมีการเสื่อมสภาพลง พื้นที่ระหว่างข้อต่อแคบลง และเริ่มมีการเกาะของแคลเซียมในกระดูกบนผิวข้อมากชึ้น ทำให้สูญเสียความสามารถในการใช้งานไป โดยทั่วไปเราสามารถพบอาการข้อเสื่อมได้ในทุกข้อต่อแต่ที่พบบ่อยคือ บริเวณหลังส่วนล่าง บริเวณคอ และ บริเวณเข่า และบริเวณกระดูกสันหลังในผู้สูงอายุ การเกิดภาวะข้อเสื่อมส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าลง ติดขัดและสามารถนำไปสู่สาเหตุของการอักเสบในข้อต่อ และความพิการได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะปวดเข่าในผู้สูงอายุ

นั้นมีหลายปัจจัย แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากแรงกระทำบนข้อมากเกินไป (มีการศึกษาในมนุษย์ พบว่าการออกกำลังกายในรูปแบบที่มีแรงกระทำต่อข้อมาก ร่วมกับการขาดการพักอย่างเหมาะสม การยืดเหยียดก่อน–หลังออกกำลังกายที่ไม่พอเหมาะ และการฝึกในระยะกล้ามเนื้อที่ล้าอยู่แล้ว ทำให้เกิดการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อข้อต่อได้ไม่ดี) อย่างไรก็ตามการเกิดภาวะข้อเสื่อมอาจเกิดขึ้นได้ในข้อต่อที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก เช่น ข้อมือข้อไหล่ ได้เช่นกัน อันเนื่องมาจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะข้อหลวม การอักเสบบริเวณข้อต่อ การไหลเวียนออกซิเจนที่ไม่เพียงพอบริเวณข้อต่อ และความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการสร้างโปรตีนคอลลาเจนที่ผิดปกติ ส่งผลให้กระดูกอ่อนมีความผิดปกติ เป็นต้น

อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา

  1. เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง
  2. เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง
  3. เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ
  4. เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า

เมื่อปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะปวดเข่าในผู้สูงอายุ

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะปวดเข่าในผู้สูงอายุ

นั้นมีหลายปัจจัย แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากแรงกระทำบนข้อมากเกินไป (มีการศึกษาในมนุษย์ พบว่าการออกกำลังกายในรูปแบบที่มีแรงกระทำต่อข้อมาก ร่วมกับการขาดการพักอย่างเหมาะสม การยืดเหยียดก่อน–หลังออกกำลังกายที่ไม่พอเหมาะ และการฝึกในระยะกล้ามเนื้อที่ล้าอยู่แล้ว ทำให้เกิดการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อข้อต่อได้ไม่ดี) อย่างไรก็ตามการเกิดภาวะข้อเสื่อมอาจเกิดขึ้นได้ในข้อต่อที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก เช่น ข้อมือข้อไหล่ ได้เช่นกัน อันเนื่องมาจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะข้อหลวม การอักเสบบริเวณข้อต่อ การไหลเวียนออกซิเจนที่ไม่เพียงพอบริเวณข้อต่อ และความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการสร้างโปรตีนคอลลาเจนที่ผิดปกติ ส่งผลให้กระดูกอ่อนมีความผิดปกติ เป็นต้น

ผลกระทบของภาวะปวดเข่าในผู้สูงอายุ

ที่สำคัญที่สุดคือจะเกิดอาการปวดบริเวณข้อต่อโดยอาการปวดจะค่อย ๆ เริ่มจาก น้อยไปมาก และปวดมากขึ้นเมื่อน้ำหนักมากขึ้นและเมื่อยกข้างที่มีปัญหา แต่อาการจะทุเลาลงเมื่อหยุดพัก เมื่อภาวะโรคดำเนินไปมากขึ้น ผู้สูงอายุอาจะปวดได้ทั้งเวลาพักและทำงาน โดยอาการจะยิ่งมากขึ้นถ้าอากาศหนาว อาการปวดสามารถพัฒนาเชื่อมโยงไปยังบริเวณอื่น ๆ ได้ เช่น ถ้าเป็นข้อเข่าเสื่อม อาจจะพบจุดกดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า ซึ่งอาจแสดงว่ากล้ามเนื้อต้องทำงานมากขึ้นเพื่อพยุงตัวผู้สูงอายุเอง

วิธีป้องกันและการปฏิบัติ

  1. ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
  2. บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)
  3. ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น
  4. ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“ปวดข้อพับเข่าด้านหลัง” อาการปวดที่ต้องเจอของนักกีฬา

ปวดข้อพับเข่าด้านหลัง

แม้กีฬาจะเป็นกิจกรรมสนุกสนาน ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง แต่ควรเล่นด้วยความระมัดระวังอยู่เสมอ เพราะอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะการเล่นกีฬาที่มีการเปลี่ยนทิศทางกระทันหัน เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ฯลฯ เส้นเอ็นอาจรับน้ำหนักไม่ไหว เกิดการบิดหมุนและฉีกขาด ซึ่งการบาดเจ็บที่พบบ่อยครั้ง คือ “ปวดข้อพับเข่าด้านหลัง” ในข้อเข่ามีเส้นเอ็นหลายเส้น แต่ละเส้นทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อเข่าอย่างเหมาะสม โดย “เส้นเอ็นไขว้หน้าข้อเข่า” จะอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางของข้อเข่า และยาวไปตามแนวเฉียงด้านหลังของกระดูกต้นขาไปจนถึงกระดูกหน้าแข้ง เส้นเอ็นดังกล่าวทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกระดูกหน้าแข้ง ป้องกันไม่ให้ขาส่วนล่างเคลื่อนไปด้านหน้า และป้องกันไม่ให้ขาเกิดการบิดหมุน

เจ็บที่ข้อพับหลังหัวเข่าอาจเกิดจากการพับเข่านานๆ ทำให้เส้นเลือดหลังข้อพับอาจถูกกดทับ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก 

การดูแลตัวเองหากเกิดอาการปวดข้อพับเข่าด้านหลังสามารถทำได้ ดังนี้

  1. พยายามหลีกเลี่ยงการนั่งพับเข่านานๆ ถ้าจะให้ดีควรนั่งเก้าอี้ และงอเข่าเป็นมุมไม่มากกว่า 90 องศา 
  2. การเล่นโยคะ ช่วยยืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อ 
  3. การออกกำลังการเฉพาะท่าที่เหมาะสม คือ การยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นหลังข้อเข่า และการบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าให้แข็งแรง 
ปวดข้อพับต้นขา

การยืดกล้ามเนื้อและเอ็นหลังข้อเข่า ช่วยลดอาการปวดข้อพับเข่าด้านหลัง

โดยยืดกล้ามเนื้อและค้างไว้ 10-20 วินาที ทำท่าละ 3-5 ครั้ง ดังนี้ 

1. นอนหงาย ชันเข่าข้างขวาขึ้น ยกขาซ้ายโดยเข่าเหยียดตรง จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อและเอ็นหลังข้อเข่า แล้วทำสลับข้าง 
2. นั่งกับพื้น ขาข้างขวาเหยียดตรง งอเข่าซ้าย โน้มตัวไปด้านหน้าจะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อและเอ็นหลังข้อเข่าแล้วทำสลับข้าง
3. การบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรง 
นอนหงายหรือนั่งเหยียดขา หมอนเล็กๆรองใต้เข่า ให้เข่างอเล็กน้อย เกร็งกล้ามเนื้อรอบเข่า ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง 
หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ค่ะ

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“กระดูกเข่าเสื่อม” ภัยร้ายของผู้สูงอายุ

กระดูกเข่าเสื่อม

กระดูกเข่าเสื่อม คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า มีการสึกหรอและเสื่อมอย่างช้าๆ และจะเป็นมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ

โรคกระดูกข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง ปัญหาปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคกระดูกเข่าเสื่อมได้ง่าย

สาเหตุหลักๆ ของกระดูกเข่าเสื่อมได้แก่

  1. เป็นผลจากความเสื่อม และการใช้เข่าที่ไม่ถูกต้องมานาน
  2. ความอ้วน น้ำหนักตัวมากๆ ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น
  3. เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณเข่ามาก่อน เช่น กระดูกบริเวณเข่าหัก, ข้อเข่าเคลื่อนหลุด, เส้นเอ็นฉีกขาด หรือหมอนรองเข่าฉีกขาด
  4. โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าท์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น

กระดูกเข่าเสื่อมมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง   

  1. อายุ การเกิดข้อกระดูกเข่าเสื่อมจะพบมากตามอายุที่เพิ่มขึ้น       
  2. เพศ พบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชาย     
  3. พันธุกรรม อาจมีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกเข่าเสื่อมร่วมด้วย       
  4. ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่มากขึ้น ทำให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกดทับมากขึ้น       
  5. การได้รับบาดเจ็บ เช่น การมีเอ็นไขว้หรือหมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด หรือมีกระดูกผิวข้อแตก

มีวิธีการรักษาอย่างไร และสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

กระดูกเข่าเสื่อมสาเหตุ pantip


ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อกระดูกเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ โดยจุดมุ่งหมายในการรักษา คือ ช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยให้หน้าที่การใช้งานของข้อกลับคืนสู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด และป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปของข้อ วิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละคน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค การใช้งานที่คาดหวังและความพร้อมของผู้ให้การรักษา

วิธีป้องกันและการปฏิบัติ

  1. ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
  2. บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)
  3. ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น
  4. ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
  5. อาการปวดเริ่มแรกสามารถบรรเทาด้วยยาแก้ปวดพาราเซตามอล, การใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบจะช่วยลดการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ ขณะที่มีอาการปวดอยู่ควรหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินมาก ถ้าเดินควรใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวเวลาเดินและใส่สนับเข่าเพื่อช่วยให้ข้อเข่ากระชับ
  6. ควรหลีกเลี่ยงการนั่งกับพื้น เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิและนั่งยองๆ ควรนั่งเก้าอี้ห้อยขา หรือนั่งเหยียดขาตรง อย่านั่งนานๆ ควรเปลี่ยนอริยาบถบ่อยๆ และควรใช้โถส้วมแบบนั่งแทนแบบนั่งยองๆ
  7. ลดน้ำหนักเพื่อลดแรงกดกระแทกที่ข้อเข่าเวลาเดินหรือยืน
  8. บริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าอย่างสม่ำเสมอ
  9. ถ้าอาการไม่ทุเลาควรปรึกษาแพทย์

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

อาการข้อเข่าอักเสบ ที่คุณควรรรู้

อาการข้อเข่าอักเสบ

ใครที่มีอาการปวดข้อปวดเข่า โดยเฉพาะเวลา เดิน วิ่ง ขยับร่างกาย และบางครั้งก็มีเสียงลั่นออกมาเวลาเหยียดงอเข่าด้วย รู้หรือไม่ว่าอาการที่ว่าอาจเป็นสัญญาณของ อาการข้อเข่าอักเสบ หรือ เข่าเสื่อม ก็ได้ แม้โรคข้อเข่าจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรคคนแก่ แต่ความจริงแล้วโรคนี้เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย และยังสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมากด้วย ดังนั้นควรให้หมอตรวจจะเป็นการดีที่สุด

อาการของข้อเข่าอักเสบ

  1. อาการข้อเข่าฝืด ตึง โดยเฉพาะในช่วงตื่นนอน หรือพักการใช้งานขอข้อเข่านานๆ
  2. อาการปวดเข่า มีลักษณะปวดตื้อๆ ทั่วๆ ไปบริเวณข้อและมักปวดแบบเรื้อรัง อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อมีการใช้งาน เช่น นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ และจะทุเลาลงเมื่อพักการใช้งาน
  3. มีเสียงในข้อเข่า เมื่อเวลาขยับเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดจากการเสียดสีของผิวข้อที่ไม่เรียบขรุขระ ซึ่งเป็นผลของการมีเศษกระดูก และอาจเกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนในข้อที่พลิกไปมา
  4. เวลาขึ้น-ลงบันได จะมีอาการเจ็บเสียวที่ข้อเข่า
  5. การเปลี่ยนรูปร่างขอข้อเข่า ในรายที่เป็นมากจะมีการชำรุดของบริเวณเข่าด้านในมากกว่าด้านนอก จนทำให้กระดูกชิดชนกัน ร่วมกับกระดูกงอกที่เกิดขึ้น การเกิดกระดูกงอกที่เป็นมาก อาจจะคลำได้กดเจ็บ และก่อให้เกิดการโค้งงอขอข้อเข่า
ยาแก้ข้อเข่าอักเสบอาการ

ยาแก้ข้อเข่าอักเสบอาการ

โรคเข่าอักเสบไม่ใช่โรคเข่าเสื่อม คุณสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้ยา ซึ่งเราไม่ขอแนะนำซักเท่าไหร่ ให้คุณกายภาพบำบัดหรือกินอาหารที่ถูกต้อง สามารถมาให้เป็นปกติ ก่อนจะเข้าเรื่องอาหารการกินต้องทราบตัวยาที่ใช้ในการรักษาข้อก่อน

  1. ยาแก้ปวดและบรรเทาการอักเสบ เช่น ยา Ibuprofen ซึ่งช่วยระงับอาการได้ชั่วคราว แต่ไม่ได้ทำให้ภาวะข้อเข่าเสื่อมดีขึ้น
  2. ยาคอร์ติโซน เป็นยาสเตียรอยด์ใช้ฉีดเพื่อยับยั้งการอักเสบ โดยจะฉีดเข้าไปที่ข้อเข่าโดยตรงปีละ 3-4 ครั้ง เพื่อไม่ให้อาการรบกวนการใช้ชีวิตมากนัก
  3. กรดไฮยาลูโรนิก เป็นส่วนประกอบสำคัญของข้อต่อและกระดูกอ่อน จึงใช้ฉีดเพื่อเพิ่มความหล่อลื่นและยืดหยุ่นให้แก่ข้อเข่า
  4. ยาทาเฉพาะที่ เช่น ยา Capsaicin ใช้ทาที่ข้อเข่าเพื่อบรรเทาอาการปวดโฆษณาจาก HonestDocs
  5. ผลิตภัณฑ์จาก Chondroitin ใช้เป็นอาหารเสริมซึ่งเชื่อว่าช่วยบำรุงกระดูกอ่อน และลดการเสียดสีของกระดูกบริเวณข้อต่อได้

อาหารที่ควรทาน ข้อเข่าอักเสบ

  1. อาหารที่มีวิตามิน ซี สูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงวิตามิน ซี เสริมในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากวิตามิน ซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยลดการอักเสบของข้อเข่าได้
  2. อาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูง เช่น ชาเขียว มะเขือเทศ หัวหอม เพราะฟลาโวนอยด์มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดอาการบาดเจ็บของข้อเข่าได้ดีเช่นเดียวกัน
  3. อาหารที่มีวิตามิน ดี สูง เช่น อาหารทะเล นม และไข่ รวมถึงการรับแสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้า เนื่องจากวิตามิน ดี จะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
  4. อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งได้แก่ ปลาทะเล แซลมอน ทูน่า โอเมก้า 3 จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ลดอาการปวดข้อและกระดูก
  5. สมุนไพรต้านการอักเสบ เช่น ขิง ขมิ้น ซึ่งมีส่วนช่วยลดการบาดเจ็บและอาการปวดข้อเข่าได้ดี แต่การทานมากเกินไปก็อาจทำให้ปวดแสบท้องได้
และการรักษาวิธีอื่นๆ โดยการไม่ผ่าตัด
  1. การพักหรือใช้งานข้อให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินเป็นระยะเวลานาน
  2. หลีกเลี่ยงการนั่งงอเข่า เช่น คุกเข่า พับเพียบ ยองๆ ขัดสมาธิ หรือนั่งเก้าอี้ต่ำ
  3. หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันไดโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นควรเดินช้าๆและขึ้นลงทีละขั้น
  4. หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งท่าเดียวนานๆ ควรเปลี่ยนท่าหรือขยับข้อเข่าอยู่เรื่อยๆ
  5. นั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือใช้เก้าอี้ที่มีรูตรงกลางวางไว้เหนือคอห่านแทนการนั่งยองๆ ควรทำราวจับบริเวณโถนั่งเพื่อใช้ช่วยพยุงตัวเวลาจะนั่งหรือยืน
  6. ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมาก ควรลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง
  7. การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน เช่น ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน จะช่วยลดแรงที่เกิดกับข้อได้
  8. ที่นอนควรมีความสูงระดับเข่า ไม่ควรนอนบนพื้นเพราะจะปวดมากเวลาจะนอนหรือลุกขึ้น
  9. การประคบอุ่นบริเวณข้อเข่า ช่วยลดอาการปวดและกล้ามเนื้อเกร็งได้
  10. การสวมสนับเข่า ในกรณีที่ข้อเข่าเสียความมั่นคง จะช่วยกระชับข้อและลดอาการปวด
  11. การทำกายภาพบำบัด ได้แก่ การฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อ การเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ และการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
  12. การใช้ยา ปัจจุบันมียาหลายกลุ่มที่ใช้รักษาโรคข้อเสื่อม ไก้แก่ ยาแก้ปวดพาราเซตามอล เป็นยากลุ่มแรกที่ใช้ในการควบคุมอาการ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อ
  13. ยาช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต จะช่วยชะลอโรค ซ่อมแซมผิวข้อ ลดการอักเสบและอาการปวด เป็นยาทางเลือกในข้อเสื่อมระยะเริ่มต้น
  14. ยาทาภายนอก ช่วยลดอาการโดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากยารับประทาน
  15. การฉีดน้ำเลี้ยงไขข้อ เป็นทางเลือกในการช่วยลดอาการปวดและช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อดีขึ้น
  16. การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ เป็นทางเลือกในข้อเสื่อมรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่น

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

หลัง “ผ่าเข่า” สิ่งที่คุณควรทราบ และปฏิบัติ

ผ่าเข่า

การผ่าตัดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดใดก็ตามจะมีความเสี่ยงที่พบได้ทั่วไป อันได้แก่ ความเสี่ยงของการให้ยาระงับความรู้สึก ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม และความเสี่ยงของการผ่าตัด ในผู้ป่วยทั่วไปจะมีโอกาสเกิดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนได้น้อย ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุและโรคประจำตัวของผู้ป่วย เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น และส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนถึงแก่ชีวิตได้ ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ (แต่ไม่จำกัดอยู่เพียงเท่านี้)

  • ข้อเข่าประกอบด้วยกระดูก 3 ส่วน ได้แก่ กระดูกต้นขา กระดูกหน้าแข้ง และกระดูกสะบ้า ทำหน้าที่รับน้ำหนักตัว มีลักษณะการเคลื่อนไหวแบบบานพับ คือ งอและเหยียด ผิวข้อเป็นกระดูกอ่อนที่เรียบมัน มีน้ำหล่อเลี้ยงเข่าช่วยลดการเสียดสี มีหมอนรองกระดูกช่วยในการรับน้ำหนัก และมีเอ็นภายในและภายนอกข้อเข่าและกล้ามเนื้อยึดอย่างแข็งแรง
  • เข่าที่เสื่อมสภาพจะมีความผิดปกติของผิวกระดูกอ่อนและน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ทำให้เกิดการเสียดสี และ เจ็บปวดระยะแรกจะรู้สึกปวดเมื่อยและตึงบริเวณข้อพับเข่าหรือ น่อง โดยเฉพาะเวลาขึ้นลงบันได เมื่อขยับข้อเข่าอาจได้ยินเสียงดังในข้อ มีอาการปวดเวลาเคลื่อนไหวหรืออากาศเย็น เมื่อเป็นมากขึ้นจะทำให้เข่าหลวมและโก่งผิดรูปทำให้เดินลำบาก
  • การรักษาเริ่มด้วยการใช้ยา บริหาร ทำกายภาพบำบัด ลดน้ำหนัก การพักและจำกัดกิจกรรม ในกรณีที่ไม่ได้ผลยังมีอาการปวดมาก  รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่สามารถเดินได้ จำเป็นต้องผ่าตัด
  • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเป็นการเปลี่ยนผิวข้อกระดูกที่เสียไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วน ให้กลับมาใช้งานได้ดีขึ้นลดความเจ็บปวด เคลื่อนไหวได้ดี และไม่โก่งงอ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้

อาการหลังผ่าเข่า

ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมนั้น กล้ามเนื้อและเอ็นต่าง ๆ รอบข้อเข่าต้องการเวลาที่จะสมานแผล ดังนั้นหลังจากที่ผู้ป่วยได้กลับบ้านแล้ว การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา การเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขา และการเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหวของข้อเข่าเทียม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันให้ได้มากที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น ภาวะการติดเชื้อที่ข้อเข่าเทียม ภาวะเส้นเลือดดำที่ขาอุดตัน หรือการที่ผู้ป่วยไม่สามารถเหยียดเข่าที่ผ่าตัดได้ตรง สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากที่ผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้านแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด ตามวิธีปฏิบัติตนภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

อาการหลังผ่าเข่า

สิ่งที่ควรปฏิบัติของผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าเข่าเสื่อม พักฟื้น และ การดูแลตัวเองหลังผ่าเข่า

  • บริหารหัวเข่าและกล้ามเนื้อขาอย่างสม่ำเสมอ และพยายามงอเข่าให้ได้มากที่สุดและเริ่มฝึกให้เร็วที่สุดหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกต้องขยันฝึก เพื่อป้องกันข้อเข่าติดแข็ง งอหรือเหยียดเข่าได้ไม่เต็มที่ จะทำให้การเดินไม่ปกติได้
  • การฝึกขึ้นลงบันไดให้เอาขาข้างดีหรือข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดขึ้นก่อน แต่ในการลงบันไดให้เอาขาข้างที่เจ็บหรือข้างที่ผ่าตัดลงก่อน การใช้ไม้เท้าหรือเครื่องค้ำยันระหว่างเดินขึ้นลงบันไดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ใน 2 สัปดาห์แรก ควรฝึกเดินด้วยไม้ค้ำยันหรือคอกช่วยเดิน เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักไม่ให้กดทับหัวเข่ามากเกินไป และป้องกันการลื่นล้ม เมื่อผู้ป่วยมีความมั่นใจและแข็งแรงขึ้นจึงค่อยเดินโดยไม่ใช้เครื่องค้ำยัน
  • ทุก 1-2 ชั่วโมง ควรฝึกเดินในระยะสั้นๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อค่อยๆ แข็งแรงขึ้นและไม่ยึดติด แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทางหรือเวลาการฝึกให้มากขึ้น
  • หลังการฝึกเดินหรือเมื่อต้องนั่งห้อยขาเป็นเวลานาน ควรหาเวลานอนพักและยกปลายเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจโดยใช้หมอนหนุนบริเวณขา เพื่อไม่ให้เกิดการคั่งของเลือดและของเหลวในร่างกาย ควรวางแผ่นประคบเย็นที่เข่าเพื่อลดอาการบวม
  • การทำกิจวัตรประจำวัน ควรทำอย่างช้าๆ เช่น เวลาเอี้ยวตัว หมุนตัว ก้มตัว ลุกขึ้นนั่งจากที่นอน การล้มตัวลงนอน การลุกขึ้นยืน ไม่ควรทำอย่างทันทีทันใด ผู้ป่วยสามารถนอนตะแคงทับขาข้างที่ผ่าตัดได้ แต่ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ อย่าให้ขาข้างที่ผ่าตัดถูกทับนานเกินไป
  • ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน เพื่อช่วยลดแรงกระแทกและให้เข่าเทียมไม่ต้องรองรับน้ำหนักมากเกินไป
  • หลังจากเดินคล่องและหายเจ็บแล้ว อาจเพิ่มการออกกำลังกายแบบไม่ใช้แรงกระแทก เช่น การเดินในน้ำ ว่ายน้ำ โดยต้องแน่ใจว่าแผลหายและแห้งสนิทแล้ว โดยควรปรึกษาแพทย์ ส่วนการเดินเร็ว ขี่จักรยาน หรือรำไทเก็กควรเริ่มจากเบาๆ และใช้เวลาไม่มากเกินไป
  • ดูแลรักษาสุขภาพในช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • หากจะต้องมีการรักษาฟัน ขูดหินปูน ทำฟัน ถอนฟัน หรือรักษาโรคอื่นๆ ใน 2-3 ปีหลังจากการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเคยได้รับการผ่าตัดข้อเข่าเทียมมาก่อน เพื่อแพทย์จะได้พิจารณาให้ยาป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจลุกลามไปถึงข้อเข่าเทียมได้จากการทำฟันหรือการผ่าตัด
  • เข้าพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อประเมินสุขภาพเข่า รวมถึงการเอกซเรย์หัวเข่า และการตรวจร่างกายตามที่แพทย์แนะนำ

สิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติของผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

  • ใน 3 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ไม่ควรขับรถ หลังจากนั้นควรขับรถในระยะที่ไม่ไกลนักก่อน
  • ใน 6 สัปดาห์แรกหลักการผ่าตัด ไม่ควรยกของหนักเกิน 5 กิโลกรัม
  • ในระยะแรกไม่ควรนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งคุกเข่า นั่งยองๆ นั่งบนเก้าอี้เตี้ย หรือเดินขึ้นลงบันไดบ่อยเกินไป
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักๆ ที่ต้องงอหัวเข่ามากๆ หรือยืด-หดหัวเข่าอย่างรวดเร็ว
  • หลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการปะทะ กระแทก กระโดดหรือใช้เข่ามากๆ เช่น บาสเก็ตบอล ฟุตบอล แบดมินตัน เทนนิส วิ่ง
  • หลีกเลี่ยงการเดินหรือทำกิจกรรมในที่มืดหรือแสงสว่างไม่เพียงพอ ไม่เดินบนพื้นที่เปียก โดยเฉพาะบริเวณห้องน้ำ เพราะจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในท่วงท่าที่ต้องบิดเข่าหรืองอเข่าเกินกว่า 90 องศา

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

“ผ่าตัดข้อเข่า” กับข้อมูลที่คุณควรทราบ

ผ่าตัดข้อเข่า

ปัจจุบันโรคข้อเข่าเสื่อมนับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้สูงอายุในประเทศไทย จากสถิติพบว่าประชาชนคนไทยเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมกว่า 6 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของประเทศ ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่ มักมีอาการปวดเข่าเวลาเดิน

โดยเฉพาะตอนเดินขึ้นบันได อาการปวดส่วนมากมักเป็นบริเวณด้านในของข้อเข่า เวลานั่งอยู่เฉยๆ มักไม่มีอาการปวด ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเดิน สูญเสียความมั่นใจ มีผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง บางกรณี ที่ผู้ป่วยมีข้อเข่าเสื่อมและขาโก่งมากๆ นั้นมีผลทำให้การเดินของผู้ป่วยผิดปกติไป มีโอกาสเกิดการหกล้มและทำให้เกิดการหักของกระดูกบริเวณตะโพก ทำให้ผู้ป่วยเกิดทุพพลภาพเพิ่มมากขึ้น

ในผู้สูงอายุมักมีอาการข้อเข่าเสื่อม ทำให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ ต้องได้รับการรักษา วิธีหนึ่งคือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ซึ่งมีความเสี่ยงในเรื่องของการติดเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยต้องเตรียมตัวก่อนการรักษาและดูแลหลังการรักษาให้ถูกต้อง โดยครั้งนี้เป็นการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม และการดูแลหลังผ่าตัด เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยเฉพาะ รวมถึงข้อมูลการรักษาหลังติดเชื้อ

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

  1. มีอาการปวด เพราะจุดประสงค์ในการรักษาคือบรรเทาอาการปวดและเพิ่มการเคลื่อนไหว
  2. มีการเคลื่อนไหวของข้อที่ผิดปกติ เช่น เหยียดหรืองอเข่าไม่สุด เข่าผิดรูป (เข่าโก่งหรือเกออกด้านนอก)
  3. ควรผ่านการรักษาด้วยวิธีอื่นมาก่อน หากผลลัพธ์ไม่ดี จึงผ่าตัดตามลำดับ
  4. ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมควรมีอายุ 60 ปีขึ้นไป เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใส่มีโอกาสสึกหรอตามกาลเวลา หากผ่าตัดก่อนอายุ 40 ปี จะมีการผ่าตัดครั้งต่อไปตามมา โดยปกติแล้วอุปกรณ์จะมีอายุประมาณ 15-20 ปี

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าในคนที่ได้รับอุบัติเหตุ

ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุและเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ามีบ้าง แต่ปกติแล้วผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุมักมีอาการกระดูกหัก ต้องได้รับการผ่าตัดยึดกระดูกก่อน หากกระดูกแตกเป็นเศษ ไม่สามารถเรียงข้อให้เรียบได้ มีโอกาสเกิดข้อเข่าเสื่อมตามมาได้ แต่ถึงอย่างไรการพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมก็ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย

ผ่าตัดหัวเข่า

ข้อห้ามในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

  1. ผู้ที่มีการติดเชื้อในเข่า และยังรักษาไม่หายขาด
  2. ผู้ที่มีการติดเชื้อบางอย่างในร่างกาย เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อในช่องปาก เป็นต้น
  3. ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อมร่วมกับกล้ามเนื้อต้นขาอ่อนแรง เนื่องจากการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมไม่สามารถแก้ไขภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ คนไข้จะไม่สามารถใช้งานขาได้ กรณีนี้จำเป็นต้องรักษาด้วยแนวทางอื่น
  4. ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมร่วมกับการสูญเสียการทำงานของเส้นประสาทรับความรู้สึก (charcot’s arthropathy) คนกลุ่มนี้ไม่รู้สึกเจ็บที่เข่า แต่การผ่าตัดมีจุดประสงค์คือลดอาการบาดเจ็บ จึงไม่จำเป็นต้องผ่า นอกจากนี้การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสประสบความไม่สำเร็จสูง เช่น มีการหลวมของข้อเทียมก่อนสมควร อากาสการติดเชื้อของข้อเทียมที่สูง เป็นต้น หากจำเป็นต้องผ่าตัดเนื่องจากข้อเข่าผิดรูป อาจพิจารณาผ่าตัดรูปแบบอื่นได้ ขึ้นอยู่กับกรณี
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

เช็คสุขภาพโดยละเอียด ตรวจคัดกรองเกี่ยวกับการติดเชื้อ หากคนไข้ติดเชื้อที่บริเวณใด ต้องได้รับการรักษาอาการติดเชื้อนั้นให้หายดีก่อน จึงเข้ารับการผ่าตัดได้

ข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
  1. การผ่าตัดใช้เวลา 1½-2 ชั่วโมงต่อการผ่าตัดขาหนึ่งข้าง
  2. การฟื้นตัว หลังผ่าตัดประมาณ 3-4 เดือน ฟื้นตัวร้อยละ 80-90 และฟื้นตัวเต็มที่ใกล้เคียงปกติ หลังผ่าตัด 1 ปีขึ้นไป
การดูแลหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
  1. ให้คนไข้เดินได้เท่าที่ทนไหวหรือเท่าที่ไม่มีอาการเจ็บ
  2. หากมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก ควรลดน้ำหนักก่อนถ้าทำได้ ค่อยเริ่มเดิน แต่ไม่ถึงกับเป็นข้อห้าม
  3. ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือการติดเชื้อในข้อเข่าหลังผ่าตัด เพราะในคนที่ผ่าตัดจะมีอวัยวะเทียมอยู่ในร่างกาย ซึ่งบริเวณข้อเข่าเทียมเป็นบริเวณที่ภูมิคุ้มกันเข้าไม่ถึง เมื่อมีการติดเชื้อขึ้นจึงรักษาได้ยาก โดยทุกคนที่ผ่าตัดจะมีความเสี่ยงเรื่องของการติดเชื้อประมาณร้อยละ 1 จึงควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ หากไม่สบายให้รีบพบแพทย์
  4. ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของข้อเข่าเทียม คือหัตถการที่เกี่ยวข้องกับช่องปากและทางเดินปัสสาวะ ดังนั้นการพบทันตแพทย์หรือแพทย์ที่เกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ ต้องแจ้งก่อนทุกครั้งว่าเคยผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี


Posted on Leave a comment

การรักษาเอ็นเข่าอักเสบเบื้องต้น

การรักษาเอ็นเข่าอักเสบ

โรคเอ็นอักเสบ เอ็นในที่นี้ก็คือส่วนปลายของกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับกระดูก เอ็นจะทำงานทุกครั้งที่กล้ามเนื้อกดเกร็งและกระดูกขยับเขยื้อน ที่เอ็นอักเสบก็เลยมักเป็นเพราะคุณใช้งานมากไป เช่น ทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ท่าทางเดิมซ้ำๆ โรคเอ็นอักเสบจริงๆ แล้วก็เป็นได้ทุกส่วน แต่ที่มักพบบ่อยคือเอ็นข้อมือ ข้อศอก ไหล่ สะโพก แล้วก็ส้นเท้า โรคเอ็นอักเสบจะมีอาการปวดมากจนบางทีก็ขยับเขยื้อนไม่ค่อยได้ ปกติจะดีขึ้นภายใน 2 – 3 อาทิตย์ โดยเฉพาะถ้ารักษาพยาบาลตัวเองให้ดีๆ ระหว่างนั้น แต่ในบางเคส โรคเอ็นอักเสบก็กลายเป็นโรคเรื้อรัง จนต้องไปรักษากับคุณหมออย่างจริงจัง

การรักษาเอ็นเข่าฉีกขาด แบ่งเป็น 3 กรณีตามความรุนแรง

  • กรณีเนื้อเยื่อบางส่วนของเอ็นฉีกขาด แพทย์จะรักษาด้วยยาบรรเทาปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ใส่ผ้าพยุงเข่า หรือทำกายภาพบำบัด งดการใช้เข่าชั่วคราว
  • กรณีเอ็นฉีกขาดบางส่วน  แพทย์จะพิจารณาร่วมกับผู้ป่วยว่าจะผ่าหรือไม่ ถ้าไม่ผ่าตัดอาจให้พักหรือใส่เฝือกไว้
  • กรณีเอ็นเข่าฉีกขาด แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัด เย็บซ่อมเอ็น หรือสร้างเอ็นใหม่

การรักษาเอ็นเข้าอักเสบเบื้องต้น


1.อย่าหักโหมใช้งานเอ็นหรือกล้ามเนื้อ 

เอ็นอาจอักเสบได้จากการบาดเจ็บกะทันหัน แต่ปกติมักเกิดจากการใช้งานซ้ำๆ ทีละน้อยแบบไม่รู้ตัวจนผ่านไปหลายวัน หลายอาทิตย์ หรือหลายเดือน การกระทำซ้ำๆ ทำให้เอ็นตึงเกร็ง จนเกิด micro-tears หรือการฉีกขาดเล็กๆ และการอักเสบตรงจุดนั้น หาให้เจอว่าอะไรที่ทำให้เอ็นคุณอักเสบ แล้วหยุดทำก่อน (สัก 2 – 3 วัน) หรือปรับเปลี่ยนท่าทางในการทำ ถ้าคุณเกิดเอ็นอักเสบเพราะการทำงาน ให้ปรึกษาหัวหน้าหรือเจ้านายเพื่อขอเปลี่ยนไปทำหน้าที่อื่นชั่วคราว แต่ถ้าคุณเอ็นอักเสบเพราะการออกกำลังกาย แสดงว่าออกหนักไปหรือออกไม่ถูกวิธี ลองปรึกษา personal trainer ดูก็ดี

  • การเล่นเทนนิสหรือกอล์ฟมากไปคือสาเหตุยอดนิยมของอาการเอ็นข้อศอกอักเสบ ถึงได้เรียกกันว่า “tennis elbow” กับ “golfer’s elbow” ไง
  • เอ็นอักเสบแบบเฉียบพลันปกติจะหายได้เองถ้าคุณหยุดพักจากการกระทำนั้นๆ แต่ถ้ายังฝืนทำต่อละก็ อาจกลายเป็นโรคเรื้อรัง (ไม่ยอมหาย) ได้ ทีนี้ล่ะรักษายากแน่


2.ใช้น้ำแข็งประคบเอ็นที่อักเสบ 

อาการปวดของโรคเอ็นอักเสบนั้น หลักๆ ก็เพราะอาการอักเสบตามชื่อ เป็นความพยายามของร่างกายที่จะรักษาและปกป้องเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บเสียหาย แต่กระบวนการต้านการอักเสบของร่างกายอาจดีเกินไปจนกลายเป็นปัญหาซะเอง เพราะฉะนั้นสำคัญว่าต้องควบคุมดูแลให้ดี อาการถึงจะบรรเทา เช่น ประคบเย็นตรงจุดที่เอ็นอักเสบด้วยน้ำแข็ง เจลแพ็ค หรือถุงผักแช่แข็งก็ได้ เพื่อบรรเทาอาการและลดปวด ประคบเย็นแบบนี้ทุก 2 – 3 ชั่วโมง จนพอหายปวดลดการอักเสบลง

  • ถ้าจุดที่อักเสบเป็นกล้ามเนื้อหรือเอ็นตรงจุดที่เล็กและเปิดเผย (อย่างข้อมือหรือข้อศอก) ให้ประคบเย็นประมาณ 10 นาที แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อหรือเอ็นที่ใหญ่หรืออยู่ลึก (อย่างไหล่หรือสะโพก) ก็ต้องประคบกันนานถึง 20 นาที
  • ระหว่างประคบเย็นเอ็นที่อักเสบ ให้ยกส่วนนั้นสูงไว้ และพันทับให้แน่นกระชับด้วยผ้ายืดพันแผล สองจุดนี้จะทำให้ลดการอักเสบได้อย่างเห็นผลยิ่งขึ้น
  • อย่าลืมห่อน้ำแข็งด้วยผ้าบางๆ ก่อนประคบเย็น จะได้ไม่เกิดอาการข้างเคียง อย่างผิวไหม้เพราะความเย็น

3.กินยาแก้อักเสบ

 อีกวิธีสู้โรคเอ็นอักเสบ ก็คือกินยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (nonsteroidal anti-inflammatory drugs หรือ NSAIDs) ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไปนี่แหละ ยากลุ่ม NSAIDs อย่างแอสไพริน ไอบูโพรเฟน (Advil, Motrin) แล้วก็นาพรอกเซน (Aleve) ช่วยเพลาๆ ปฏิกิริยาตอบโต้ที่ร่างกายมีต่ออาการอักเสบได้ ทำให้ลดบวมลดปวด แต่ยากลุ่ม NSAIDs นั้นมักทำให้ปวดท้อง (ส่งผลต่อตับและไตบ้าง) เพราะงั้นจะดีกว่าถ้าคุณไม่กินต่อเนื่องนานเกิน 2 อาทิตย์ ไม่ว่าจะบาดเจ็บตรงไหนก็ตาม

  • ถ้าไม่อยากกินยา ก็ลองทาครีมหรือเจลแก้อักเสบลดปวดดูตรงบริเวณที่เป็น ถ้าเป็นตื้นๆ แถวบริเวณผิวหนัง ยาก็ยิ่งซึมและเห็นผลดีกว่า
  • อย่าพยายามกินยาแก้ปวด (acetaminophen) หรือยาคลายกล้ามเนื้อ (cyclobenzaprine) เพื่อรักษาโรคนี้ เพราะไม่ได้ช่วยเรื่องการอักเสบเลย

4.ยืดเส้นยืดสายเอ็นที่อักเสบเบาๆ

 ถ้าเป็นอาการกล้ามเนื้อหรือเอ็นยึดปานกลางถึงไม่มากนัก การยืดเส้นยืดสายจะช่วยได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และเพิ่มความคล่องตัว ให้คุณขยับเขยื้อนได้มากขึ้น โรคเอ็นอักเสบแบบเฉียบพลันก็ยืดเส้นยืดสายได้ (ขอแค่อาการปวดบวมอักเสบไม่มากนัก) และช่วยป้องกันไม่ให้อาการอักเสบเรื้อรังรุนแรงไปกว่าเดิม ระหว่างที่ยืดเส้น ให้ออกท่าทางช้าๆ แต่มั่นคง และค้างไว้ประมาณ 20 – 30 วินาที ทำซ้ำ 3 – 5 ครั้งต่อวัน โดยเฉพาะก่อนและหลังทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรง

  • สำหรับคนที่เป็นโรคเอ็นอักเสบเรื้อรังหรืออยากยืดเส้นเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ ให้ประคบร้อนตรงบริเวณที่เป็นก่อนยืดเส้น จะได้เป็นการวอร์มอัพกล้ามเนื้อกับเอ็นให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
  • ข้อควรระวังคืออาการปวดของโรคเอ็นอักเสบจะยิ่งแย่ตอนกลางคืน และหลังคุณออกท่าออกทางหรือทำกิจกรรม

5.ใส่ตัวซัพพอร์ตเข่า Arukou ช่วย

 ถ้าคุณเป็นโรคเอ็นอักเสบที่หัวเข่า ข้อศอก หรือข้อมือ ให้ใช้ที่ซัพพอร์ตเข่า ที่ขยับเขยื้อนได้ง่ายหน่อย เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนนั้นขยับเขยื้อนมากไปหรือกระทบกระเทือน การใส่ผ้ายืดรัดข้อยังช่วยเตือนใจคุณให้เพลาๆ กิจกรรมนั้นๆ ลงหน่อย และไม่หักโหมทำงานหรือออกกำลังกายมากเกินไป

  • แต่ก็อย่ารัดหรือยึดบริเวณที่อักเสบแน่นเกินไปจนขยับไม่ได้ เพราะเอ็น กล้ามเนื้อ และข้อรอบๆ ต้องขยับได้บ้าง เลือดถึงจะไหลเวียนไปเลี้ยงสม่ำเสมอและหายดี
  • นอกจากใส่ที่รัดแล้ว ให้ลองหาเฟอร์นิเจอร์ในห้องทำงานแบบ ergonomics ที่ปรับให้เหมาะสมตามสรีระและการใช้งานของคุณดู ถ้าจำเป็นก็ต้องปรับหมดทั้งเก้าอี้ คีย์บอร์ด และระดับโต๊ะหรือหน้าจอคอม ข้อกับเอ็นของคุณจะได้ไม่รับภาระหนักอย่างที่เคย

ทั้งนี้ทั้งนั้นหากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ก่อน เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื้อรังและบานปลายในอนาคต

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี

Posted on Leave a comment

น้ําในข้อเข่า สำคัญต่อเข่าไฉน

น้ำในข้อเข่า

ข้อเข่าของเรา มีลักษณะคล้ายกับข้อต่อ ของเครื่องยนต์ ประกอบด้วย กระดูกผิวข้อ ซึ่งมีลักษณะเรียบลื่น เป็นมันวาว มีสีและลักษณะคล้ายกับผิวของงาช้าง ภายในมีส่วนสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ “น้ำเลี้ยงข้อ” มีลักษณะเป็นของเหลวใสอยู่ภายในช่องว่างของข้อเข่า มีลักษณะพิเศษคือ มีความเหนียว ยืดหยุ่นได้ และเหมือนไข่ขาว ทำหน้าที่ในการช่วยลดหรือดูดซับแรงกระแทกต่อเข่า ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ทำหน้าที่คล้ายๆ โช้กอัพ และช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทานของผิวข้อเหมือนกับน้ำมันหล่อลื่น หรือน้ำมันจาระบี

เมื่อเราอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป น้ำเลี้ยงข้อเข่าจะมีปริมาณลดลง และเริ่มสูญเสียคุณสมบัติในการทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และการหล่อลื่น อันเนื่องมาจากสารตัวหนึ่ง ชื่อ ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic) ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำเลี้ยงข้อมีปริมาณลดลง…..ก่อให้เกิดการสัมผัส เสียดสีกันโดยตรงของกระดูกผิวข้อ เกิดเสียงดังเวลาขยับข้อเข่า โดยเฉพาะเวลาลุกขึ้นจากที่นั่ง หากปล่อยทิ้งไว้กระดูกผิวข้อก็จะสึกกร่อนไปเรื่อยๆ จนผิวข้อบางลง มีอาการอักเสบ เจ็บบริเวณหัวเข่า โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสะบ้า (กระดูกรูปสามเหลี่ยมส่วนหน้าหัวเข่า) นานวันเข้าเกิดเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมตามมาในที่สุด

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า หากปล่อยให้ข้อเข่าเสื่อม จะมีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลของน้ำเลี้ยงข้อ จากภาวะความเป็นกลางไปเป็นภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวเร่งการทำลายความสมบูรณ์ของผิวข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ภาวะข้อเสื่อมก็จะเป็นมาก และเป็นเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของข้อเข่าให้ถูกต้องแต่แรก จะช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าให้ทำหน้าที่รับใช้เราได้ยาวนานขึ้น คนที่มีน้ำหนักมากและมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 ถ้าควบคุมหรือลดน้ำหนักได้ ก็จะช่วยลดแรงกระแทกต่อผิวข้อ ทำให้อาการปวดเข่าหายไปได้ คนที่นั่งงอเข่าเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ ต้องฝึกเหยียดเข่าบ่อยๆ เพื่อลดแรงกดของกระดูกสะบ้ากับกระดูกปลายเข่า ร่วมกับการฝึกออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อรอบๆ เข่า และต้นขา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อให้ทำงานแบ่งเบาภาระการทำงานของข้อต่อ

แต่ถ้าหากอยากป้องกันภาวะข้อเข่าเสื่อม หรือเริ่มเสื่อมไปบ้างแล้ว คุณหมอแนะนำว่า ในปัจจุบันมีวิธีเติมน้ำเลี้ยงข้อเข่า เพื่อทดแทนน้ำเลี้ยงข้อที่มีการลดลง โดยการนำน้ำเลี้ยงข้อสังเคราะห์ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำเลี้ยงข้อปกติ มาช่วยในการป้องกันและรักษา โดยการฉีดเข้าไปในข้อเข่าที่มีอาการ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ซึ่งมีผลการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะข้อที่เสื่อม จุดประสงค์เพื่อช่วยหล่อลื่น และกระตุ้นเซลล์เยื่อบุข้อให้ทำการสร้างน้ำเลี้ยงเข่าที่ปกติขึ้นมาทดแทน เป็นวิธีที่ปลอดภัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกให้น้ำเลี้ยงข้อเข่านี้กับผู้ที่ได้รับการรักษาโดยการรับประทานยา ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

การฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า

นอกจากการผ่าตัดแล้ว การฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม น้ำเลี้ยงข้อจะมีความผิดปกติ คือ มีความเข้มข้นและความยืดหยุ่นลดน้อยลง เนื่องจากสาร  Hyaluronic เสื่อมคุณภาพ ซึ่งการฉีดยาเข้าไปจะส่งผลให้ข้อเข่าลื่น ลดการเสียดสีที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดได้

น้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่าคืออะไร

น้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า เป็นสารสกัดของ Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในน้ำเลี้ยงข้อปกติ ด้วยเหตุนี้น้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า จึงมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในเนื้อเยื่อของร่างกาย คือ มีความยืดหยุ่น มีความหนืดใกล้เคียงน้ำเลี้ยงข้อเข่าของคนปกติ และรับแรงกระแทกได้ดี

ทำไมต้องฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่า

การฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่านั้นเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในกรณีที่รับประทานยาหรือทำกายภาพบำบัดแล้วอาการไม่ดีขึ้น ถือเป็นวิวัฒนาการการรักษาชนิดใหม่ของข้อเข่าเสื่อม ด้วยการฉีดสารที่มีโมเลกุล มีความหนักและมีความหนืดใกล้เคียงสารน้ำหล่อลื่นในเข่าเข้าไปเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในเข่าที่เสื่อม เพราะในข้อที่เสื่อมนั้นน้ำเลี้ยงข้อเข่ามักจะเสื่อมสภาพด้วย การเติมสารเหล่านี้เข้าไปจะช่วยหล่อเลี้ยงข้อเข่าให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น เมื่อฉีดน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่าเข้าไปในข้อเข่าแล้วจะทำให้เกิดผลที่สำคัญ    คือ ลดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงเพิ่ม และให้อาหารบำรุงกระดูกอ่อน โดยน้ำหล่อลื่นผิวข้อเข่าที่ฉีดเข้าไปจะลดการหลั่งสารอักเสบต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้อาการปวดของผู้ป่วยดีขึ้น การใช้ยาชนิดนี้อาจชะลอการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าออกไปได้

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี



Posted on Leave a comment

อาการปวดข้อเข่าและ วิธีรักษา

อาการปวดเข่าและ วิธีีรักษา

คนส่วนใหญ่มักจะละเลยอาการปวดที่เกิดตามข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า หรือข้อสะโพก และมักคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดที่เกิดขึ้นตามอายุที่สูงขึ้นหรือบาดเจ็บจากการใช้งาน การกินยาบรรเทาอาการปวดและพยายามหลีกเลี่ยงกิจกรรมและท่าทางต่าง ๆ ที่ทำให้อาการปวดข้อกำเริบจึงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมสูงสุด ซึ่งอาการปวดข้ออาจหายไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป อาการปวดข้อก็กลายเป็นปวดเรื้อรังที่มีความรุนแรงมากขึ้น และอาจเป็นอาการนำของโรคร้ายบางชนิด

ปวดตามข้อบอกโรค

ปวดตามข้อ คือหนึ่งในลักษณะอาการที่บ่งบอกได้หลายโรคด้วยกัน ได้แก่ โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์ ข้อเสื่อม และโรค เอส แอล อี ซึ่งแต่ละโรคก็มีลักษณะอาการปวดตามข้อที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันออกไป เช่น 

1. เกาต์

โรคเกาต์ อาการปวดที่เกิดขึ้น มักเกิดบวมแดงร้อนข้อแบบเฉียบพลัน แม้ว่าจะอยู่เฉย ๆ ไม่มีประวัติอุบัติเหตุ ไม่ได้รับการกระทบกระแทกรุนแรงใด ๆ มีอาการปวดข้อเดียวไม่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหลายข้อ ข้อที่พบว่าเป็นโรคเกาต์ได้บ่อยที่สุด ได้แก่ ข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า 

2. ข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อมระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดสัมพันธ์กับการใช้งาน ระยะปานกลาง เมื่อกระดูกอ่อนเริ่มสึกกร่อน ข้ออาจมีการอักเสบร่วมกับข้อเริ่มโค้งงอ เหยียดงอไม่สุด ระยะรุนแรง เมื่อกระดูกอ่อนสึกกร่อนมากขึ้น ข้อเริ่มหลวมไม่มั่นคง ข้อหนาตัวขึ้น จากกระดูกงอกหนา ข้อโก่งงอ ผิดรูปชัดเจน เวลาเดินต้องกางขากว้างขึ้น กล้ามเนื้อรอบข้อลีบเล็กลง ขณะลุกขึ้นจากท่านั่งจะมีอาการปวดที่รุนแรง 

3. เอสแอลอี

โรค เอส แอล อีเป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน บางรายมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งทีละระบบ มักมีอาการทางข้อและกล้ามเนื้อเป็นอาการนำ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดข้อ มักเป็นข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางครั้งมีบวมแดงร้อนร่วมด้วยคล้ายผู้ป่วยรูมาตอยด์ แต่บางรายอาจรุนแรงถึงชีวิต

4.  รูมาตอยด์ 

โรครูมาตอยด์ อาการปวดข้อมักเกิดมากที่สุดช่วงตื่นนอน อาจมีอาการอยู่ 1 – 2 ชั่วโมง หรือทั้งวันก็ได้ มีอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวข้อลำบาก ตำแหน่งของข้อที่มีอาการปวดมากที่สุดมักจะเป็นที่ข้อมือ และข้อนิ้วมือ แต่มีโอกาสปวดข้อไหนก็ได้ ลักษณะอาการปวดข้อช่วงเช้านี้เป็นลักษณะสำคัญของโรครูมาตอยด์ นอกจากอาการทางข้อแล้ว ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีไข้ต่ำๆ ตาแห้ง ปากแห้งผิดปกติ พบก้อนใต้ผิวหนังบริเวณข้อศอกและข้อนิ้วมือ

การรักษาโรคเข่าต่างๆ

การรักษาโรคมีอยู่ 4 วิธีด้วยกัน คือ 

  1. การใช้ยา ในปัจจุบันมียามากมายที่ใช้ในการควบคุมและรักษาโรครูมาตอยด์ให้ได้ผลดี ยาเหล่านี้ได้แก่ยารักษารูมาตอยด์โดยเฉพาะ ยาที่ปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคสารชีวภาพ และยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ 
  2. การพักผ่อนและการบริหารร่างกาย 
  3. การป้องกันไม่ให้ข้อถูกทำลายมาก 
  4. การผ่าตัด จะมีบทบาทในการรักษาโรครูมาตอยด์ในกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว

หากร่างกายเริ่มแสดงอาการปวดตามข้อก็ควรที่จะพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคและเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ก่อนที่จะปวดเรื้อรังจนส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตประจำวัน 

arukouthailand ผลิตภัณฑ์ซัพพอร์ตเข่า คุณสามารถปรึกษาเกี่ยวกับเข่าของคุณกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ฟรี